แม้ว่าเกมเปิดสนามระหว่างอินเตอร์ ไมอามีของลิโอเนล เมสซีกับอัล อาห์ลี จะเริ่มในเวลา 20.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ซึ่งพ้นช่วงอากาศร้อนสูงสุดแล้ว แต่เกมระหว่างปารีส แซงต์-แชร์กแมง กับแอตเลติโก มาดริด จะเตะตอนเที่ยงวัน ที่สนามโรสโบวล์ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งไม่มีหลังคาคลุมผู้ชม ทำให้ต้องเจอกับแดดจัดเต็ม ๆ

การจัดแข่งในฤดูร้อนของสหรัฐฯ ทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงผลกระทบจาก “ภาวะโลกร้อน” โดยข้อมูลระบุว่า 9 จาก 10 ปีที่อากาศร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ เกิดขึ้นในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา และอุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศก็เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 องศาเซลเซียส

ก่อนหน้านี้ ศึกโคปา อเมริกา เคยมีเหตุการณ์ผู้เล่นและผู้ตัดสินล้มกลางสนามจากอาการขาดน้ำ เช่น โรนัลด์ อาเราโฆ ที่ต้องเปลี่ยนตัวออกครึ่งแรก หรือผู้กำกับเส้นที่ล้มลงระหว่างเกมแคนาดาพบเปรู ในอุณหภูมิที่ “รู้สึกได้” ถึง 38 องศา

รายงานจากกลุ่ม Fossil Free Football เผยว่า ใน 11 สนามแข่งของศึกสโมสรโลก มีถึง 8 สนามที่ไม่มีร่มเงา และ 4 เมืองเคยเผชิญอากาศร้อนจัดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังระบุว่าการเดินทางของแต่ละทีมรวมกันจะทำให้เกิดการเดินทางทางอากาศมากกว่า 560,000 กิโลเมตร ซึ่งสะท้อนปัญหาสิ่งแวดล้อมและการปล่อยคาร์บอน

ปัจจุบัน กฎของฟีฟ่าเกี่ยวกับ “สภาพอากาศสุดขั้ว” มีเพียงมาตรการหยุดดื่มน้ำเมื่อค่าดัชนี WGBT (ความร้อนที่รวมความชื้นและการไหลเวียนของอากาศ) เกิน 32 องศาเซลเซียส แต่สหภาพนักเตะนานาชาติ Fifpro มองว่าไม่เพียงพอ และเสนอให้มีการหยุดพักเพิ่มหรือเลื่อนการแข่งขันหากร้อนเกิน 32 องศา

Fifpro ระบุว่า “การแข่งขันในเมืองร้อนอย่างไมอามีหรือออร์แลนโด ท่ามกลางโปรแกรมแข่งถี่จัด อาจเป็นภัยต่อสุขภาพนักเตะ เราจึงเรียกร้องให้มีมาตรการเชิงรุกมากขึ้นเพื่อปกป้องสวัสดิภาพของผู้เล่น”

แม้ฟีฟ่าจะมีการติดตามสถานการณ์รายวัน แต่ยังไม่มีมาตรการใหม่ชัดเจน โดยการปรับเวลาแข่งขันยังเป็นเรื่องยาก เนื่องจากต้องพิจารณาความต้องการของผู้ถ่ายทอดสด

ศึกสโมสรโลกครั้งนี้ อาจกลายเป็นบททดสอบสำคัญก่อนฟุตบอลโลก 2026 ที่จะมี 48 ทีมและแข่งถึง 104 นัดในหลายเมืองของสหรัฐฯ และเม็กซิโก ซึ่งเผชิญปัญหาอากาศร้อนเช่นกัน ข้อมูลเหล่านี้จะกลายเป็นบทเรียนสำคัญในการรับมือกับภัยจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต.