โดยจุดเปลี่ยนสำคัญของเกมคือใบแดงของ นิโคลัส แจ็คสัน ก่อนหมดครึ่งแรกเพียง 10 นาที จากจังหวะที่เขาใช้ศอกใส่ใบหน้าของสเวน บ็อตมัน

แม้โค้ชเอ็นโซ่ มาเรสก้าจะพยายามประท้วงคำตัดสิน แต่ VAR ชัดเจนจนไม่สามารถแก้ต่างให้แจ็คสันได้ และนั่นอาจกลายเป็นเหตุการณ์ที่ถูกจดจำ หากทีมพลาดไปเล่นถ้วยใหญ่ของยุโรป

ครึ่งแรกเชลซีครองบอลได้มากแต่ไร้ไอเดียในการเข้าทำ ขณะที่ครึ่งหลังแม้เหลือ 10 คน กลับเล่นได้ดีกว่าเดิม โดยมีจังหวะลุ้นประตูหลายครั้งจากมาร์ก กูกูเรญ่า และเอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ แต่ก็ยังไม่สามารถเจาะตาข่ายนิค โป๊ปได้ ก่อนจะมาโดนลูกที่สองจากลูกยิงแฉลบของบรูโน่ กีมาไรส์

การขาดแจ็คสันในสองนัดสุดท้ายกับแมนฯ ยูไนเต็ดและน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ยิ่งทำให้สถานการณ์ของทีมย่ำแย่ โดยเฉพาะเมื่อแอสตัน วิลล่าเพิ่งเก็บชัยชนะ ทำให้ช่องว่างอันดับเริ่มห่างออกไป

สไตล์การเล่นของมาเรสก้าถูกตั้งคำถามอีกครั้ง เมื่อการครองบอลอย่างอดทน ไม่ตอบโจทย์แนวรุกอย่างแจ็คสัน, โนนี มาดูเอเก้ และเปโดร เนโต้ ที่ถนัดการเล่นพื้นที่ว่างมากกว่า ทั้งยังอาจเป็นอุปสรรคหากทีมจะคว้าตัว วิคเตอร์ เยอเกเรส ที่เล่นได้ดีเมื่อมีพื้นที่มาก

แจ็คสันเองตกอยู่ในสภาวะกดดัน หลังถูกคาดหวังให้เป็นหัวหอกตัวหลักตั้งแต่อายุเพียง 21 ปี โดยขาดผู้นำหรือกองหน้ามากประสบการณ์ให้เรียนรู้ และผลงานที่ออกมาก็ยังไม่สม่ำเสมอ

เชลซียังมีเกมสำคัญรออยู่ และการคว้าตัวนักเตะใหม่ช่วงซัมเมอร์ จะขึ้นอยู่กับผลงานว่าทีมจะได้ไปเล่นในรายการยุโรปหรือไม่ ซึ่งหากพลาด UCL ความน่าดึงดูดของสโมสรก็จะลดลงตามไปด้วย